หมอเด็ก แนะวิธีเลือกโรงเรียนให้ลูก “อนุบาล-มัธยม” เพราะชีวิตเด็กไม่ได้มีด้านเดียว

หมอเด็ก แนะวิธีเลือกโรงเรียนให้ลูก “อนุบาล-มัธยม” เพราะชีวิตเด็กไม่ได้มีด้านเดียว

Loading

ช่วงนี้หลายครอบครัวกำลังคิดหนัก ว่าจะส่งลูกเรียนที่ไหนดี โรงเรียนแบบไหนกันนะที่เหมาะสมกับลูกเราและเงินในกระเป๋า ด้วยเชื่อว่าหากส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนที่ดีและมีคุณภาพ อนาคตที่ดีของลูกคงอยู่ไม่ไกล

อาจเป็นคำแนะนำดีๆ จากสาระน่ารู้เรื่อง “เลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างไร” โดย ผศ.นพ.ทรงภูมิ เบญญากร ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก “หมอชวนรู้” โดย แพทยสภา ดังนี้

“ให้ลูกเรียนที่ไหนดี” เป็นคำถามที่พบบ่อยโรงเรียนที่จะเอาลูกเข้านั้นควรเหมาะสมตรงใจพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่ต้องคิดล่วงหน้าให้ได้ก่อนว่า การใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์เราเป็นอย่างไรแล้วจึงเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม

          #เด็กอนุบาล เด็กอนุบาลจะใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนประมาณ 4-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีกิจกรรมหลังเลิกเรียน ไม่มีเรียนพิเศษช่วงเวลาที่เด็กอยู่บ้านจะสำคัญกว่าโรงเรียนอย่างแน่นอน ดังนั้นควรเลือกโรงเรียนที่คุณสามารถไป รับ-ส่งได้ง่ายใกล้บ้าน ใกล้ออฟฟิศ เพื่อให้มีกิจกรรมกับสมาชิกครอบครัวได้ต่อเนื่อง พ่อแม่สามารถเอางานที่เด็กทำที่โรงเรียนมาให้ทำเพิ่มเล็กน้อยเพื่อทบทวน ถามไถ่เรื่องการเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน ถ้ามีเพื่อนอยู่ใกล้บ้านควรพาเด็กไปเล่นช่วงเวลาเย็นต่อ เพื่อให้เด็กคุ้นกับการเข้าสังคมทีละน้อย สังเกตได้ว่าวัยนี้ไม่เน้นวิชาการเลย

          #เด็กประถม เด็กประถมเริ่มมีการเรียนที่เข้มข้นมากขึ้น ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนประมาณ 9-10 ชั่วโมง จึงจำเป็นต้องมีเวลาทำกิจกรรมกับเพื่อนหลังเลิกเรียน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือกิจกรรมสันทนาการ แต่การเรียนพิเศษไม่ได้มีความจำเป็นเสมอไปหลักสูตรโรงเรียนต้องเหมาะกับตัวเด็ก โดยพ่อแม่สามารถสอบถามจากพ่อแม่ที่มีลูกเรียนอยู่โดยทั่วไปโรงเรียนที่เข้มงวดเรื่องการสอบเข้า มักเน้นวิชาการซึ่งไม่เหมาะกับเด็กที่ไม่ชอบเรียน นอกจากนี้ต้องพิจารณาว่า โรงเรียนมีข้อเด่นด้านใด และเหมาะสมกับเด็กหรือไม่พ่อแม่จำเป็นต้องคุยกับครูประจำชั้นอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อติดตามปัญหาด้านการเรียนและเพื่อน ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวัยนี้

           #เด็กมัธยม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พ่อแม่จำเป็นต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงเด็กได้ทันท่วงที โดยการสื่อสารกับครูประจำชั้นอย่างสม่ำเสมอ โรงเรียนที่เหมาะสมกับเด็กวัยรุ่น จำเป็นต้องให้อิสระในการคิด ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติฝึกทักษะในการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น การเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่มหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องที่ขาดเสียมิได้สำหรับเด็กวัยรุ่นโรงเรียนจำเป็นต้องมีระบบการให้คำปรึกษาด้านความถนัดที่สามารถพัฒนาไปสู่แนวทางอาชีพได้ในอนาคต

          #Homeschool เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยทั่วไปมักเหมาะกับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ เช่น กีฬาหรือดนตรีแต่ในปัจจุบันพบว่าพ่อแม่หลายคนนิยมให้ลูกหลาน Home school มากขึ้น ด้วยสาเหตุที่สามารถออกแบบการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้พ่อแม่ จำเป็นต้องพัฒนาทักษะทางสังคมของเด็กควบคู่กันไปด้วย เช่น ให้เด็กมีกิจกรรมร่วมกับเด็ก Home school ด้วยกัน หาโอกาสพิเศษให้เด็กค้นหาความถนัดด้านอื่น เพื่อเป็นทางเลือก

การเลือกโรงเรียนคงต้องดูให้เหมาะสมกับช่วงวัยและพัฒนาการ แต่ชีวิตของเด็กไม่ได้มีเฉพาะด้านโรงเรียนเพียงอย่างเดียว ทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ด้านร่างกาย ปฏิสัมพันธ์ มิติสัมพันธ์ ทักษะเหล่านี้พ่อแม่สามารถช่วยพัฒนาเด็กได้ ผ่านกิจกรรมที่บ้านหรือกิจกรรมกลุ่มตามวัย สุดท้ายนี้คงไม่สามารถสรุปได้ว่า โรงเรียนในฝันที่เหมาะกับเด็กทุกคน มีลักษณะอย่างไร พ่อแม่ควรเข้าใจลักษณะของเด็กและโรงเรียน เพื่อประกอบการตัดสินใจ

.

ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก “หมอชวนรู้” โดย แพทยสภา