ทำไมลูกไม่อยากคุยเรื่องเพศกับพ่อแม่

ทำไมลูกไม่อยากคุยเรื่องเพศกับพ่อแม่

Loading

เคยสงสัยไหมว่าทำไมลูกไม่ค่อยอยากคุยหรือปรึกษาเรื่องเพศกับพ่อแม่ ?

ทำไมลูกถึงต้องไปคุยเรื่องเพศกับเพื่อนหรือหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากกว่าที่จะคุยกับพ่อแม่ ?

ทำไมพ่อแม่อยากให้ลูกคุยเรื่องนี้ แต่ลูกมักจะเลี่ยงเสมอ ?

การสื่อสารกับลูกเรื่องเพศเป็นเรื่องหนักอกหนักใจของคนเป็นพ่อแม่ยุคนี้ไม่น้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะด้วยทัศนคติและค่านิยมที่ฝังรากลึกมานานของสังคมไทยที่มักไม่ค่อยนำเรื่องเพศมาพูดคุยให้เหมือนเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน

ทั้งที่จริงแล้วเรื่องเพศควรจะเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้เหมือนเรื่องอื่น ๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าช่วงวัยรุ่นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ใกล้ชิด ในวัยนี้คนหนุ่มสาวเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่ทรงพลังของพวกเขา 

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย อารมณ์ พฤติกรรมบางอย่างก็เปลี่ยนไป รวมถึงเรื่องความสนใจและวิธีการแสดงออกของพวกเขา ซึ่งรวมไปถึงการสนใจเพศตรงข้าม และความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง 

พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นคงสัมผัสได้ เมื่อถึงวัยหนึ่งลูกก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งจะว่าไปคนเป็นพ่อแม่ก็เคยผ่านช่วงวัยฮอร์โมน หรือวัยรุ่นมาแล้ว ก็ควรจะเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของลูกด้วย

ประเด็นสำคัญคือ คุณเป็นพ่อแม่ที่ใกล้ชิดและพูดคุยกับลูกทุกเรื่องหรือเปล่า ถ้าใช่ เรื่องความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าคุณไม่ได้พูดคุยกับลูกตั้งแต่เล็กในทุก ๆ เรื่อง เมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น ย่อมพูดคุยได้ยากกว่าพ่อแม่ที่พูดคุยเรื่องนี้กับลูกตั้งแต่เล็ก

แต่ก็เป็นธรรมดาที่คนเป็นพ่อแม่ก็อยากรู้ทุกเรื่องของลูก รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ลูกไม่อยากคุยกับพ่อแม่ เพราะอะไร ?

ลองมาสำรวจทัศนคติบางประการของพ่อแม่ที่เข้าข่ายเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำให้ลูกไม่อยากคุยเรื่องเพศว่าใช่หรือไม่ !

1. เริ่มด้วยการตำหนิ 

จริงหรือไม่ถ้าลูกของคุณพูดเรื่องเพศตรงข้าม หรือบอกว่ามีแฟน พ่อแม่มักจะตำหนิไว้ก่อนว่า แก่แดด หรือบอกว่ายังไม่ถึงเวลามีแฟน ควรเรียนให้จบก่อน โปรดรู้ไว้ด้วยว่า ประโยคทำนองนี้แหละที่จะทำให้ลูกไม่กลับมาเล่าหรือหารือเรื่องนี้กับคุณอีกเลย

2. มองว่าเป็นเรื่องน่าอาย 

เวลาลูกสงสัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง เกิดความสงสัยอาจจะตั้งคำถามกับพ่อแม่ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกชายก็จะคุยกับพ่อ และลูกสาวก็จะคุยกับแม่ แต่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่คิดว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ควรนำมาพูดคุยให้เหมือนเรื่องปกติ หรือไม่ก็จะตอบลูกว่า ถึงเวลาก็รู้เองแหละ สมัยพ่อแม่ก็ไม่ต้องมีใครมาสอนหรอก ขอให้ได้รับรู้ไว้ว่า สังคมในยุคอดีตและปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในยุคอดีตเราอาจเติบโตมาแบบเดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเราก็รู้กันมาแบบผิด ๆ อยู่ไม่น้อย

3. ไม่ไว้วางใจ 

พ่อแม่บางคนที่ลูกมาปรึกษาเรื่องเพศ ก็จะจินตนาการบรรเจิด คิดว่าลูกไปมีแฟนหรือมีปัญหา หรือคิดว่าลูกกำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้สำคัญมากที่พ่อแม่ต้องไว้วางใจเขาด้วย เพราะลูกวัยนี้ต้องการความไว้วางใจอย่างมาก เขาอยากพิสูจน์ว่าเขาโตแล้ว และการที่เขาพูดคุยเรื่องเพศก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่เป็นเพราะเขาอยากรู้ และถ้าเขาพบว่าพ่อแม่ไว้วางใจเขาเหมือนทุก ๆ เรื่อง ต่อไปเมื่อมีปัญหาอะไร เขาก็จะหารือพ่อแม่

4. จ้องจะสอน 

ถ้าเริ่มด้วยการที่พ่อแม่ตั้งท่าจะสอนอย่างเดียว ประมาณว่าลูกต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง เราควรเป็นพ่อแม่ที่รับฟังลูกให้มากๆ โดยเฉพาะเมื่อลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น พ่อแม่ควรจะรับฟังลูกด้วยความตั้งใจและเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแบบให้จบๆ เพราะจ้องจะสอนหรืออบรมว่าลูกต้องทำอะไร รับประกันว่าลูกจะไม่กลับมาหารือเรื่องนี้กับพ่อแม่อีก สิ่งที่ควรทำคือรับฟังด้วยความเข้าใจ และคอยประคับประคองหรือช่วยเหลือเวลาที่ลูกต้องการ

5. ตอบแบบขอไปที 

พ่อแม่จำพวกนี้จะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก หรือไม่ก็ไม่สามารถตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของลูกวัยรุ่นได้ อาจด้วยความไม่รู้ ก็เลยไม่สนใจตอบ หรือตอบแบบขอไปที หรือไม่สนใจ ในขณะที่ลูกยังไม่ได้รับความกระจ่าง ครั้งต่อไปเขาก็จะไม่อยากถามหรือคุยอีก

ถึงเวลาที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะเปิดใจยอมรับว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเราด้วย อย่าใช้วิธีคิดว่าพ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือนำไปเปรียบเทียบกับยุคสมัยของพ่อแม่ ซึ่งไม่มีประโยชน์ใด ๆ มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน และลูกอาจจะออกห่างจากเราไปด้วย

เรื่องเพศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะพูดคุยกันได้ในครอบครัว เพียงแต่ต้องเริ่มจากทัศนคติของพ่อแม่ให้ได้ก่อน

บทความโดย : ดร.สวรงมณฑ์ สิทธิสมาน