สอนลูกชายดูแลสุขอนามัย “จู๋”

สอนลูกชายดูแลสุขอนามัย “จู๋”

Loading

การดูแลรักษาความสะอาดอวัยวะเพศเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามและเป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องคุยกับลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้เขาสามารถดูแลความสะอาดพื้นที่สงวนได้อย่างเหมาะสม

วันนี้เรามีคำแนะนำเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำไปใช้ถ่ายทอดให้ลูกชายเพื่อดูแลจู๋ของเขาให้สะอาด และมีสุขอนามัยที่ดี

          จู๋หรืออวัยวะเพศชายนั้น อาจมีการสะสมของสารที่มีลักษณะข้นเหนียวที่เรียกว่าขี้เปียก (Smegma) ซึ่งเป็นเมือกที่เกิดจากการผสมกันของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว มักพบบริเวณปลายองคชาตและใต้หนัง หุ้มปลายองคชาต หากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งกลิ่นเหม็น เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และจับตัวกันจนไม่สามารถ รูดหนังหุ้มปลายของเจ้าหนูได้ตามปกติ ส่งผลให้จู๋เกิการระคายเคือง บวมแดง อักเสบขึ้นมาได้ การทำความสะอาดจู๋จึงต้องทำทั้งบริเวณรอบ ๆ และใต้หนังหุ้มปลายองคชาต เพื่อกำจัดขี้เปียก เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เชื้อแบคทีเรีย และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกไป เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และป้องกันการสะสมของเชื้อโรค

 สำหรับวิธีการทำความสะอาดจู๋ คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกชาย สามารถแนะนำลูกให้ทำความสะอาดได้ ดังนี้ 

          1.รูดหนังหุ้มปลายช้างน้อยเข้าหาตัวอย่างเบามือ ซึ่งเด็กชายจะสามารถรูดหนังหุ้มปลายถอยร่นตามธรรมชาติทีละนิด เมื่อถึง 5-7 ปี ก็จะเปิดออกได้จนหมด

          2.ล้างจู๋ด้วยน้ำและสบู่สูตรอ่อนโยน โดยเฉพาะบริเวณหนังหุ้มปลายองคชาต แต่ควรหลีกเลี่ยงการขัดหรือถูอย่างแรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ในกรณีที่มีขี้เปียกเป็นก้อนแข็งจนไม่สามารถรูดหนังหุ้มปลายได้ สามารถใช้น้ำมันถู เพื่อช่วยให้รูดหนังหุ้มปลายช้างน้อยได้ง่ายขึ้น แต่ห้ามออกแรงดึงเพราะจะทำให้ผิวหนังฉีกขาด และอาจเกิดการติดเชื้อได้

          3.ล้างฟองสบู่ออกให้หมด แล้วใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับให้แห้ง แล้วรูดหนังหุ้มปลายกลับลงไปเช่นเดิมทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรใช้ของมีคมหรือสำลีก้านแคะขี้เปียก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อได้ หากช้างน้อยมีอาการแดงและอักเสบบริเวณ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ 

          4.ทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรใช้ของมีคมหรือสำลีก้านแคะขี้เปียก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อได้ หากมีอาการแดงและอักเสบบริเวณ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ